บุลลาร์ดสนับสนุนการปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้น 50 จุดพื้นฐาน

เจมส์ บุลลาร์ด ประธานธนาคารกลางแห่งเซนต์หลุยส์กล่าวเมื่อวันพฤหัสบดีว่าเขาไม่สนับสนุนเฟดที่ปรับลดการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยให้น้อยลงในการประชุมเมื่อเดือนที่แล้ว

เศรษฐศาสตร์ พร้อมเสริมว่าเขาพร้อมที่จะสนับสนุนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่ใหญ่ขึ้นในการประชุมครั้งต่อไปของธนาคารกลางในเดือนมีนาคม“ผมจะไม่ตัดประเด็นอะไรออกไม่ว่าจะเป็นการประชุมครั้งนั้นหรือการประชุมใด ๆ ในอนาคต” บุลลาร์ดกล่าวเมื่อวันพฤหัสบดีหลังการนำเสนอต่อ Greater Jackson Chamber ในเมืองแจ็กสัน รัฐเทนเนสซี โดยอ้างถึงโอกาสในการปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้น 50 จุดพื้นฐานในเดือนมีนาคมเฟด ขยับอัตราดอกเบี้ยลง เป็น 25 จุดพื้นฐานเมื่อเดือนที่แล้ว และ ตลาด ได้เดิมพันว่า จะมีการขึ้นอีก 25 จุดพื้นฐานอีก สองครั้ง ทำให้อัตราเงินกองทุนของเฟดอยู่ที่ช่วง 5% ถึง 5.25%ประธานเฟดแห่งเซนต์หลุยส์ผู้ซึ่งไม่ได้เป็นสมาชิกที่ไม่สามารถลงคะแนนเสียงได้ยืนยันว่าเขาผลักดันให้เฟดปรับขึ้นอีก 50 จุดพื้นฐาน ในวันที่ 31 ม.ค.- 1ก.พ. ของการประชุม โดยต้องการให้อัตราดอกเบี้ยมาตรฐานของเฟดไปสู่ระดับที่เข้มงวดเพียงพอเร็วขึ้นความจำเป็นในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปอาจช่วย “แก้ไขแนวโน้มเงินเฟ้อในช่วงปี 2023” ประธานเฟดแห่งเซนต์หลุยส์กล่าว โดยชี้ให้เห็นถึงตลาดแรงงานในปัจจุบันที่อุปสงค์ยังคงแซงหน้าอุปทานอย่าง “ไม่เคยปรากฏมาก่อน”

ประธานธนาคาร 1

ข้อมูลในวันพฤหัสบดีแสดงให้เห็นว่า PPI รายเดือนเพิ่มขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนมิถุนายนจนถึงขณะนี้ และยังคงแข็งแกร่งในตลาดแรงงานเนื่องจาก จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานครั้งแรก ลดลงอย่างไม่คาดคิด

เศรษฐศาสตร์ “การเผยแพร่ข้อมูลในลักษณะนี้เป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้กำหนดนโยบายยังคงย้ำความตั้งใจที่จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยให้สูงขึ้นก่อนที่จะหยุดชั่วคราว และปล่อยให้อัตราดังกล่าวอยู่ในขอบเขตจำกัดเป็นระยะเวลาหนึ่ง” เจฟฟรีส์กล่าวในบันทึกย่อความคิดเห็นของบุลลาร์ดสอดคล้องกับความเห็นของ ลอเล็ตต้า เมสเตอร์ประธานเฟดแห่งคลีฟแลนด์ ซึ่งไม่ใช่สมาชิกเฟดที่สามารถลงคะแนนได้เช่นกัน แต่กล่าวว่าเธอเห็น “กรณีที่น่าสนใจ” สำหรับการเพิ่มขึ้นอีกครึ่งจุดพื้นฐานในการประชุมครั้งล่าสุดของเฟดอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ พุ่งสูงขึ้นจากความคิดเห็นที่ hawkish จากสมาชิกเฟด ทำให้ ค่าเงินดอลลาร์ เข้าสู่แดนบวกหลังจากที่เพิ่มขึ้นทำระดับสูงสุดในรอบ 6 สัปดาห์ก่อนหน้านี้ในสัปดาห์นี้

แนะนำข่าวเศรษฐศาสตร์ อ่านเพิ่มเติมคลิ๊กเลย : 2566 เศรษฐกิจย่อยยับ

UOB เผย 10 ปัจจัยหนุนประเทศในอาเซียน รับมือความผันผวนของตลาดในอนาคต

ยูโอบี เผย 10 ปัจจัยสนับหนุนประเทศในอาเซียน รับมือความผันผวนของตลาดในอนาคต

ข่าวเศรษฐศาสตร์ รายงาน Quarterly Global Outlook ประจำไตรมาสที่ 1/66 ของธนาคารยูโอบีได้สรุป 10 ปัจจัยสำคัญที่สะท้อนความยืดหยุ่นของประเทศสมาชิกอาเซียนในการรับมือกับความผันผวนของตลาดตลอดปีที่ผ่านมา ซึ่งจะเป็นปัจจัยพื้นฐานสำหรับการรับมือกับความผันผวนของตลาดในอนาคตด้วยเช่นกัน1. เศรษฐกิจของประเทศในอาเซียนส่วนใหญ่ฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่งในไตรมาส 2-3 ของปี 2565 จากการส่งออกและอุปสงค์ในประเทศที่เพิ่มขึ้น โดยมาเลเซียมีอัตราการเติบโตเร็วที่สุดในอาเซียนในไตรมาส 3 ปี 2565 ข่าวแนะนำ มองทะลุดีลแสนล้าน ทรู + ดีแทค = ทรู สมการควบรวมที่ขยายขนาดยักษ์ให้ตัวใหญ่ขึ้น มองทะลุดีลแสนล้าน ทรู + ดีแทค = ทรู สมการควบรวมที่ขยายขนาดยักษ์ให้ตัวใหญ่ขึ้น รถยนต์ไฟฟ้าขายฉ่ำยอดเดือน ธ.ค.ที่ผ่านมาโต 820%
รถยนต์ไฟฟ้าขายฉ่ำยอดเดือน ธ.ค.ที่ผ่านมาโต 820% อาเซียนมีสตาร์ทอัพยูนิคอร์นเกิดใหม่เพียง 8 รายในปี 65 น้อยกว่าปีก่อนหน้า 3 เท่า
อาเซียนมีสตาร์ทอัพยูนิคอร์นเกิดใหม่เพียง 8 รายในปี 65 น้อยกว่าปีก่อนหน้า 3 เท่า 2. ผลผลิตของประเทศในอาเซียน (ยกเว้นประเทศไทย) กลับไปสู่ระดับก่อนเกิดโควิดแล้ว จากอุปสงค์การส่งออกและการเปิดเศรษฐกิจใหม่ที่กระตุ้นอุปสงค์ในประเทศ

ปัจจัยหนุนประเทศในอาเซียน 6

3. การค้าในอาเซียนยังแข็งแกร่ง โดยในช่วงที่มีการระบาดของโควิด-19 ผู้ส่งออกและภาคการผลิตในอาเซียนเป็นผู้ได้ประโยชน์หลัก

ข่าวเศรษฐศาสตร์  แต่ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าอุปสงค์ทั่วโลกคาดว่าจะอ่อนตัวลง เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้นทั่วโลก ส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายและกิจกรรมทางธุรกิจ4. การฟื้นตัวของการท่องเที่ยว การยกเลิกข้อจำกัดที่เกี่ยวข้องกับโควิด-19 และการเปิดเศรษฐกิจในประเทศต่างๆ ในอาเซียนอีกครั้งตั้งแต่กลางปี 2565 ทำให้อาเซียนฟื้นตัวเร็วขึ้นจากกระแสนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นและตลาดภาคบริการที่ดีดตัวขึ้นปัจจัยเหล่านี้คาดว่าจะเป็นเสาหลักสำหรับเศรษฐกิจอาเซียน ในปี 2566 และเมื่อจีนผ่อนคลายนโยบายปลอดโควิดและเปิดพรมแดนอีกครั้งจะเป็นอีกปัจจัยที่ช่วยหนุนให้การท่องเที่ยวในอาเซียนฟื้นตัว5. อัตราเงินเฟ้อในอาเซียนโดยทั่วไปอยู่ในระดับต่ำ เมื่อเทียบกับตลาดที่พัฒนาแล้วในปี 2565 ทำให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจมีความยืดหยุ่นมากขึ้น6. การเปลี่ยนแปลงของห่วงโซ่อุปทาน สัดส่วนการนำเข้าของสหรัฐฯ จากอาเซียน โดยเฉพาะเวียดนามเพิ่มขึ้น ในขณะที่การนำเข้าของสหรัฐฯ จากจีนลดลงหลังจากปี 2559 ซึ่งโดยรวมจะส่งผลดีต่ออาเซียนในฐานะศูนย์กลางการผลิตและการส่งออก7. จากการเปลี่ยนแปลงของห่วงโซ่อุปทาน ส่งผลให้ การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ในอาเซียนเพิ่มขึ้น 44% ในปี 2564 ทำสถิติสูงสุดที่ 175.3 พันล้านเหรียญสหรัฐ และอาเซียนมี FDI ที่ใหญ่เป็นอันดับสามของโลก รองจากสหรัฐฯ และจีน8. ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศที่สะสมเพิ่มขึ้นตั้งแต่เกิดวิกฤตการณ์ทางการเงินในเอเชีย ทำให้มีเกราะป้องกันมากขึ้นจากความผันผวนของตลาดการเงิน9. ความสามารถในการชำระค่านำเข้าเป็นอีกปัจจัยที่สะท้อนความแข็งแกร่ง โดยประเทศในอาเซียนส่วนใหญ่มีเงินสำรองเพียงพอสำหรับการชำระค่านำเข้า 3 เดือน 10. ประเทศในอาเซียนส่วนใหญ่มีหนี้ต่างประเทศระยะสั้นค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับเงินสำรองเศรษฐกิจทั่วโลกเติบโตช้าลงในปี 2566เอ็นริโก้ ทานูวิดฮาฮา นักเศรษฐศาสตร์ของธนาคารยูโอบี สิงคโปร์ กล่าวว่า แม้ว่าปัจจัยพื้นฐานที่ดีขึ้นช่วยให้ตลาดอาเซียนสามารถต้านทานความผันผวนของตลาดการเงินในปี 2565 ได้ แต่คาดว่าปีหน้าจะเป็นปีที่ท้าทายและมีความไม่แน่นอนจากปัจจัยเสี่ยงต่างๆ อาทิ ภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐอเมริกาและยุโรป ภาวะการเงินที่ตึงตัวความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ-จีนที่ตึงเครียดมากขึ้น และความขัดแย้งของรัสเซีย-ยูเครน รวมถึงปัจจัยเสริมอื่นๆ เนื่องจากเศรษฐกิจของอาเซียนมุ่งเน้นการส่งออกเป็นหลักตลอดจนเป็นแหล่งรองรับเงินลงทุนจากต่างประเทศ หรือ FDI ที่ใหญ่เป็นอันดับสามของโลก เราจึงไม่สามารถเพิกเฉยต่อปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงเหล่านี้อาจถูกลดทอนลงบ้างจากการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของกิจกรรมภายในประเทศ การผ่อนคลายข้อจำกัดการแพร่ระบาดของโควิด และการเปิดการเคลื่อนย้ายข้ามพรมแดนอีกครั้ง ซึ่งจะส่งผลดีต่อภาคธุรกิจค้าปลีก อาหารและเครื่องดื่ม การเดินทาง ที่พัก และอื่นๆ ภายในประเทศ และเมื่อจีนเปิดพรมแดนอีกครั้งจะช่วยฟื้นฟูภาคการท่องเที่ยวโดยเฉพาะในประเทศไทย มาเลเซีย สิงคโปร์ และเวียดนามโดยรวมแล้วเราคาดการณ์ว่าอัตราการเติบโตของ GDP ทั่วโลกจะลดลงในปี 2566 โดยตลาดที่พัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐอเมริกา ยุโรป และอังกฤษ มีอัตราการเติบโตที่ลดลงทั้งปี ในขณะที่ประเทศเศรษฐกิจหลักในอาเซียน ได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย และ เวียดนาม คาดว่าการเติบโตจะชะลอตัวลงต่ำกว่า 5% ในปี 2566 จากที่สูงกว่า 6% ในปี 2565

แนะนำข่าวเศรษฐศาสตร์ อ่านเพิ่มเติมคลิ๊กเลย : ไม่ใช่“เดินละเมอ”แต่โลกกำลัง“เดินสวนสนาม”สู่สงคราม

BOJ คงอัตราต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ไม่เปลี่ยนแปลง ค่าเงินเยนดิ่ง

BOJ คงอัตราต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ไม่เปลี่ยนแปลง ค่าเงินเยนดิ่ง

เศรษฐศาสตร์ ธนาคารแห่งประเทศญี่ปุ่น (BOJ) คงอัตราดอกเบี้ยไว้ตามเดิมตามที่คาดการณ์ไว้ในวันพุธ และยังคงรักษาอัตราปัจจุบันของการควบคุมเส้นอัตราผลตอบแทน ซึ่งลดการคาดการณ์ของตลาดสำหรับสัญญาณที่พุ่งสูงขึ้น เงินเยนญี่ปุ่น ดิ่งลงหลังจากการเคลื่อนไหวนี้ โดยลดลงมากกว่า 2% มาอยู่ที่ 130.75 เยนต่อดอลลาร์ ในขณะที่ ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่น ร่วงลงกว่า 3% ต่ำกว่าระดับ 0.5% ธนาคารกลางคง อัตราดอกเบี้ยนโยบายระยะสั้น ไว้ที่ระดับติดลบ 0.1% และคงอัตราดอกเบี้ยระยะยาวไว้ที่ 0% ซึ่งเป็นอัตราที่ต่ำเป็นประวัติการณ์ BOJ กล่าวว่าจะคงช่วงความผันผวนของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีไว้ที่ระหว่าง 0.5% และติดลบ 0.5% ความเคลื่อนไหวดังกล่าวลดความคาดหวังของตลาดสำหรับการปรับอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมหลังจากที่ธนาคารได้ขยายช่วงดังกล่าวโดยไม่คาดคิดในเดือนธันวาคม การเคลื่อนไหวดังกล่าวได้กระตุ้นให้เงินเยนแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วและยังเห็นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรมาตรฐานพุ่งสูงขึ้น อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีซื้อขายเหนือระดับสูงสุดในสัปดาห์นี้โดยคาดว่าจะมีการเคลื่อนไหวที่คล้ายกันในวันพุธซึ่งยังไม่เกิดขึ้น นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าช่วงการควบคุมเส้นอัตราผลตอบแทนจะกว้างขึ้น ข่าวเศรษฐศาสตร์ โดยบางส่วนอาจยุติแนวปฏิบัติที่ผ่อนปรนของ BOJ เนื่องจากต้องดิ้นรนเพื่อให้อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นภายใต้การควบคุม BOJ คงเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อประจำปีไว้ที่ 2% และกล่าวว่าจะยังคงใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจ โดยคาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อของญี่ปุ่นจะยังคงเพิ่มขึ้นในระยะสั้นก่อนที่จะอ่อนตัวลงภายในกลางปี 2023 หลังจากนั้น คาดว่าจะเร่งตัวขึ้นอีกครั้ง ความเคลื่อนไหวในวันพุธมาพร้อมกับอัตราเงินเฟ้อของญี่ปุ่นที่มีแนวโน้มสูงสุดในรอบ 40 ปี เนื่องจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ผันผวนและค่าเงินเยนที่อ่อนค่าลงทำให้ต้นทุนการนำเข้าวัตถุดิบสูงขึ้น ข้อมูลอัตราเงินเฟ้อ ดัชนีราคาผู้บริโภค ทั่วประเทศสำหรับเดือนธันวาคมมีกำหนดส่งในวันศุกร์นี้ และคาดว่าราคาจะแสดงระดับสูงสุดในรอบ 40 ปี อัตราเงินเฟ้อคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 4%- สองเท่าของ BOJ ที่ 2% เป้าหมายประจำปี อัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่นในปี 2022 โดยเศรษฐกิจ หดตัวโดยไม่คาดคิดในไตรมาสที่สาม เนื่องจากราคาที่เพิ่มขึ้น

แนะนำข่าวเศรษฐศาสตร์ อ่านเพิ่มเติมคลิกเลย : คลังคาดประกาศผลตรวจสอบสิทธิบัตรสวัสดิการแห่งรัฐปลายม.ค.นี้

งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 เพิ่มวงเงิน 3.35 ล้านล้าน

งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 เพิ่มวงเงิน 3.35 ล้านล้าน

 เศรษฐศาสตร์ นายเฉลิมพล เพ็ญสูตร ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ เปิดเผยว่า ที่ประชุม 4 หน่วยงานเศรษฐกิจ ประกอบไปด้วย สำนักงบประมาณ สภา พัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และกระทรวงการคลัง มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน เห็นชอบกรอบการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 (ต.ค.2566-ก.ย.2567) วงเงิน 3.35 ล้านล้านบาท โดยปรับเพิ่มขึ้นมาจากงบประมาณปี 2566 ที่มีวงเงิน 3.185 ล้านล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 165,000 ล้านบาท ขาดดุลงบประมาณ 593,000 ล้านบาท หรือขาดดุลลดลงจาก ปี 2566 ประมาณ 102,000 ล้านบาท โดยจะเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี 10 ม.ค.2566 นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการ สศช. กล่าวว่า การจัดทำกรอบงบประมาณปี 2567 ดังกล่าวถือว่าเหมาะสมในสถานการณ์ที่เศรษฐกิจไทยเริ่มฟื้นตัวชัดเจนขึ้นจากโควิด-19  ข่าวเศรษฐศาสตร์  โดยการตั้งสมมติฐานการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ปี 2567 ไว้ที่ 3.3-4.3% โดยมีค่ากลางอยู่ที่ 3.8% นั้นถือว่าไม่สูงจนเกินไป เนื่องจากปริมาณการค้าโลกใน 2567 จะฟื้นตัว โดยจะขยายตัวได้ถึง 3.7% เพิ่มจากปี 2566 ที่การค้าโลกจะหดตัวลงเหลือ 2.5% จาก 4.5% ในปี 2565 ส่วนการเพิ่มรายจ่ายภาครัฐและลดการขาดดุลงบประมาณลงในการจัดทำงบฯปี 2567 ถือว่าส่งผลดีต่อสถานะการเงินการคลังของประเทศในระยะยาวเนื่องจากการจัดทำงบขาดดุลต่อเนื่องนั้นไม่เป็นผลดี รัฐบาลจึงมีการวางแผนลดการขาดดุลลง ควบคู่กับการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้และการใช้จ่ายงบประมาณของภาครัฐด้วย ขณะเดียวกัน การจัดทำงบประมาณปี 2567 ที่มีการเพิ่มกรอบวงเงินงบประมาณ และลดการขาดดุลงบประมาณลง ทำให้เกิดวินัยการเงินการคลังของประเทศมากขึ้น

แนะนำข่าวเศรษฐศาสตร์ อ่านเพิ่มเติมคลิกเลย : เศรษฐศาสตร์จุฬาฯ ส่องศก.ไทยปี 66! อุปสงค์ในปท.-ท่องเที่ยว ขึ้นแท่นพระเอก-นางเอก

กรุงศรี ไพรเวท แบงก์กิ้ง จัดสัมมนา

กรุงศรี ไพรเวท แบงก์กิ้ง จัดสัมมนา The Future of Family Business and Its Enduring Legacy

เศรษฐศาสตร์ นายวิน พรหมแพทย์ (ที่ 2 จากซ้าย) ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานลูกค้าไฮเน็ตเวิร์ธ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) เป็นประธานในการเปิดงานสัมมนา The Future of Family Business and Its Enduring Legacy โดยรับเกียรติจาก ดร. กฤษฎ์เลิศ สัมพันธารักษ์ (ขวา) ศาตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์ University of California San Diego (UCSD) และอดีตผู้อำนวยการสถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ ธนาคารแห่งประเทศไทย และสองทายาทธุรกิจ นางสาวนัฐธารี พันธุ์เพ็ญโสภณ (ที่ 2 จากซ้าย) Chief Operating Officer บริษัทโคคา โฮลดิ้ง อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด และนายอชิระ บุญสงเคราะห์ (ซ้าย) ข่าวเศรษฐศาสตร์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายจัดหาและพัฒนาผลิตภัณฑ์ และ กรรมการ บริษัท โมชิ โมชิ รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เป็นวิทยากรร่วมแบ่งปันความรู้ มุมมอง และประสบการณ์ในเรื่องของธุรกิจครอบครัว ให้กับกลุ่มลูกค้ากรุงศรี ไพรเวท แบงก์กิ้ง จัดขึ้นที่โรงแรมสยามเคมปินสกี้ กรุงเทพฯ

แนะนำข่าว เศรษฐศาสตร์ อ่านเพิ่มเติมคลิกเลย : แบงก์ชาติจีนคงดอกเบี้ย LPR ติดต่อกันเดือนที่ 4 หลังตรึงดอกเบี้ยนโยบาย

เนื้อหมูราคาแพง : การอธิบายด้วยกฎธรรมชาติทางเศรษฐศาสตร์

ราคาเนื้อหมูที่เพิ่มสูงขึ้น ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ถูกอธิบายว่าเป็นเพราะปริมาณเนื้อหมูส่วนหนึ่งหายไปจากตลาด

รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ให้สัมภาษณ์ว่าได้มีมาตรการในการแก้ปัญหาเนื้อหมูราคาแพงด้วยการห้ามส่งออกเป็นเวลา 3 เดือน เพื่อให้ปริมาณเนื้อหมูกลับเข้าสู่ระบบการบริโภคในประเทศ ก่อนและเร่งส่งเสริมการเลี้ยงหมูเพิ่มเติม เพื่อเพิ่มปริมาณเนื้อหมูให้เพียงพอสำหรับการบริโภคในประเทศคำอธิบายเรื่องปริมาณผลผลิตขาดแคลนหรือไม่เพียงพอ กับความต้องการของผู้บริโภค แทบจะกลายเป็นคำอธิบายหลักที่ใช้ได้ในแทบทุกกรณีเมื่อมีปรากฏการณ์สินค้าทางการเกษตรมีราคาสูงขึ้นเช่น กรณีราคาทุเรียนของปี พ.ศ.2564 ที่สูงขึ้นกว่าปี พ.ศ.2563 ก็ถูกอธิบายว่าเป็นเพราะผลผลิตทุเรียนถูกส่งออกไปประเทศจีนเพิ่มขึ้นทำให้มีผลผลิตทุเรียนเข้าสู่ตลาด(ไทย)น้อยลงกว่าปีที่แล้ว จึงเป็นเหตุให้ผู้บริโภคในไทยต้องเผชิญกับราคาทุเรียนที่สูงขึ้นอย่างไรก็ตาม หากจะมีคนสงสัยว่า เหตุใดเมื่อปริมาณสินค้าหรือปริมาณผลผลิตเข้าสู่ตลาดน้อยลง แล้วจึงทำให้สินค้านั้น ๆ มีราคาแพงขึ้น คำตอบที่เขาจะได้รับก็คือเพราะมันเป็น “กฎธรรมชาติ” และนักเศรษฐศาสตร์คงแทบจะกลั้นหัวเราะไม่อยู่ขณะที่ตอบคำถามนี้ปรากฏการณ์ดังกล่าวนี้ทำให้ผมนึกถึงบางส่วนในหนังสือ นักสืบเศรษฐศาสตร์ที่มี ทิม ฮาร์ฟอร์ดเป็นผู้เขียน ซึ่งเป็นหนังสือขายดีพิมพิมพ์ซ้ำ 10 ครั้งในช่วงเวลาเพียง 5 ปี(2551 – 2555) บางตอนดังกล่าวนั้นมีเนื้อความว่า“พอล ซีไบร์ต นักเศรษฐศาสตร์เล่าถึงเจ้าหน้าที่โซเวียตซึ่งเดินทางไปลอนดอน เขาชมกระบวนการผลิตของโลกตะวันตกด้วยความสนเท่ห์และร้องถามเสียงหลง “ช่วยบอกผมหน่อยว่าใครเป็นผู้รับผิดชอบจัดหาขนมปังให้คนลอนดอนทั้งเมือง” คำถามตลกดี แต่คำตอบว่า ไม่มีใครคุม ยิ่งฮาใหญ่” (หน้า 16)ทิม ฮาร์ฟอร์ดเห็นว่าคำถามที่ว่าใครเป็นผู้รับผิดชอบจัดหาขนมปังให้คนลอนดอนทั้งเมืองเป็นคำถามที่ตลกดี เช่นเดียวกับคำถามที่ว่าทำไมเมื่อมีปริมาณสินค้าเข้าสู่ตลาดน้อยกว่าความต้องการของผู้บริโภคสินค้านั้นจึงมีราคาแพงขึ้น ที่เป็นเช่นนั้นเพราะนักเศรษฐศาสตร์เชื่อว่ามันเกิดจากมือที่มองไม่เห็น (invisible hand) หรือกลไกตลาดซึ่งเป็น “กฎธรรมชาติ”

เนื้อหมูราคาแพง

นักเศรษฐศาสตร์เชื่อว่า กฎธรรมชาติในเรื่องดังกล่าวนี้มิได้ใช้อธิบายได้เฉพาะในขอบเขตประเทศใดประเทศหนึ่ง และยิ่งไปกว่านั้นยังสามารถใช้อธิบายเชื่อมโยงถึงปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในต่างพื้นที่และต่างประเทศกันได้อีกด้วย

ทิม ฮาร์ฟอร์ด ยกตัวอย่างกฎธรรมชาตินี้ที่น่ามหัศจรรย์นี้ไว้ในหนังสือนักสืบเศรษฐศาสตร์อีกตอนหนึ่งว่า ในปีหนึ่งที่ประเทศบราซิลซึ่งเป็นผู้ส่งออกกาแฟรายสำคัญของโลกต้องเผชิญกับอากาศที่หนาวผิดปกติส่งผลให้ผลผลิตกาแฟของบราซิลลดลงอย่างมาก ปริมาณผลผลิตกาแฟที่เข้าสู่ตลาดโลกจึงลดลงอย่างมีนัยสำคัญตามไปด้วยในขณะที่ประเทศเคนยาซึ่งเป็นผู้ส่งออกกาแฟรายสำคัญเช่นกันไม่ต้องเผชิญกับอากาศที่หนาวผิดปกติจึงทำให้ผลผลิตกาแฟของประเทศเคนยามีจำนวนเป็นปกติสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ เกษตรกรผู้ปลูกกาแฟของเคนยาต่างพากันยิ้มหน้าบาน เพราะผลผลิตกาแฟของตนเองมีราคาสูงขึ้น อันเนื่องมาจากปริมาณผลผลิตกาแฟในตลาดโลกมีน้อยลงเมื่อเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟในประเทศเคนยามีผลผลิตเท่าเดิม แต่ราคาผลผลิตต่อหน่วยเพิ่มสูงขึ้น เกษตรกรจึงมีรายได้เพิ่มสูงขึ้นมาก และฮาร์ฟอร์ดอธิบายต่อไปอย่างน่าทึ่งว่าปรากฏการณ์นี้ทำให้ราคาสังกะสีในประเทศเคนยาเพิ่มสูงขึ้น เพราะเกษตรกรต่าง ๆ กันต้องการซื้อสังกะสีมาต่อเติมและปรับปรุงที่พักอาศัยของพวกเขาโดยสรุปฮาร์ฟอร์ดต้องการอธิบายว่า อากาศหนาวในบราซิลสามารถส่งผลให้ราคาสังกะสีในเคนยาสูงขึ้น ปรากฏการณ์สองอย่างที่ดูเหมือนจะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันเลยนั้น สามารถอธิบายได้อย่างน่าทึ่งด้วยกฎธรรมชาติของนักเศรษฐศาสตร์ที่มีใจความง่ายๆ ว่าเมื่อสินค้าชนิดใดขาดแคลนหรือมีความต้องการสินค้านั้นเพิ่มมากขึ้น สินค้านั้นก็จะมีราคาสูงขึ้นฮาร์ฟอร์ดอธิบายว่ากฎธรรมชาติหรือกลไกตลาดนี้เป็นสิ่งที่น่าทึ่งและน่าพึงปรารถนาอย่างยิ่งเพราะมันจะช่วยทำให้สินค้าไปตกถึงมือ “คนที่ถูกต้อง” ตามหลักของคำถามพื้นฐานทางเศรษฐกิจ 3 ข้อที่นักเรียนวิชาเศรษฐศาสตร์ขั้นพื้นฐานทุกคนจะต้องได้รับการบอกว่าคือคำถามที่ว่าจะผลิตอะไร ผลิตเพื่อใคร และผลิตอย่างไรซึ่งคำถามที่ว่าจะผลิตเพื่อใครนั้น ฮาร์ฟอร์ดได้ตอบไว้ในหนังสือนักสืบเศรษฐศาสตร์ว่า ผู้ผลิตจะผลิตสินค้าเพื่อให้สินค้านั้นตกถึงมือ “คนที่ถูกต้อง” อันมีความหมายว่าผลิตเพื่อคนที่ต้องการสินค้านั้น

แนะนำเศรษฐศาสตร์ อ่านเพิ่มเติมคลิ๊กเลย : CKPower โชว์กำไรไตรมาส 3/65 แตะ 1,462 ล้าน แม้ราคาก๊าซกระทบค่าใช้จ่าย